'รักยุทธภพ' ร่วมด้วยช่วยดันหรือวาทกรรมฉาบฉวย?
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนะครับที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางท่องยุทธภพในฐานะจอมยุทธ์คนหนึ่งของปฐพีนี้ หากแต่เป็นจอมยุทธ์ไร้พรรคผู้ซึ่งมิเคยสวามิภักดิ์ต่อสำนักใด หาใช่มิอยากร่วมรังสรรค์ในวิทยายุทธอื่นไม่ แต่จอมยุทธ์ผู้นี้มีอุดมการณ์เป็นของตัวเองที่อาจจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นฝ่าย "อธรรม"บ้าง "พรรคมาร"บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่เราจะมาร่วมสังคายนากันในวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วจากการบอกเล่าของจอมยุทธ์รุ่นพี่ผู้เคยท่องยุทธภพมาก่อน ซึ่งในยุคนั้นยุทธภพยังไม่ได้มีสีทองเรืองรองอร่ามเหมือนทุกวันนี้ แต่การแก่งแย่งชิงดีก็ไม่ได้น้อยกว่าในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันยิ่งมีการเหยียดและปิดกั้นมากกว่ากันหลายเท่าตัวนัก มากจนถึงขนาดที่ต่างฝ่ายต่างยกพวกร่ายวิชาใส่กันด้วยฝ่าเท้าก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ
จอมยุทธ์ "รุ่นใหญ่" ทั้งหลายก็ไม่เคยรักกันมาแต่ไหนแต่ไร แล้วทำไมวันนี้จึงปรากฏคำว่า "รักยุทธภพ" แปะบนหน้าผากกันแทบจะเป็นโลโก้ ทั้งๆที่ก็ยังคงมีการปิดกั้นหรือที่เรียกกันว่าการ "แบน" อย่างโจ้งแจ้งกว่าเดิมจากฝ่าย "ธรรมะ" ผู้รักความสันติสุขจนแทบจะแหกตูดดม
มันน่าแปลกตรงที่ฝ่าย "ธรรมะ" พยายามจะใช้เคล็ดรวมศูนย์ด้วยการโจมตีฝ่าย "อธรรม" ด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเป็นการบิดใบปลิวประกาศ, การรวมตัวของกลุ่มพ่อค้าแม่ขาย และ เสี่ยวเอ้อ ต่างก็เคลิบเคลิ้มไปกับวาทกรรมรวมใจเพราะยิ่งเมืองมีความคึกคักมากเท่าไหร่ การค้าหรือการให้บริการก็จะเติบโตไปด้วย โดยที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องมาตั้งแต่ต้น
70 เปอร์เซ็นต์ของคนที่อยู่ในยุทธภพปัจจุบันนี้ ไม่เคยร่วมแรงร่วมใจอันใดกับยุทธภพมาก่อนเลย เพียงแต่เห็นผลประโยชน์จากการรวมศูนย์ครั้งนี้จึงเทใจให้ฝั่งธรรมะเต็มอัตรา ในขณะที่ฝ่าย "อธรรม" มิเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด โดยได้แค่ฝึกลมปราณและลองวิชากับจอมยุทธ์ฝั่งตรงข้ามไปก็เท่านั้น
หรือถ้าจะให้มองอีกมุม ฝ่าย "อธรรม" ยังมีความเป็นลูกผู้ชายเสียมากกว่า เพราะเขาไม่เคยเอาเรื่องเลวร้ายของฝ่าย "ธรรมะ" มาแปะใบปลิวป่าวประกาศที่กำแพงเมืองเลย ถ้าไม่ถูกกระทำเสียก่อน
ยกตัวอย่างเช่น "จอมยุทธ์สิบหน้า" ผู้คร่ำหวอดในยุทธภพใต้ดินมาช้านานก็เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งถูกแบนมาตั้งแต่เริ่มทั้งๆที่ก็ทราบกันดีอยู่ว่าฝีมือของเขานั้นไร้เทียมทานขนาดไหน โดยฝ่าย "ธรรมะ" นั้นกลับใช้เขาเพียงเพื่อผลประโยชน์บางจังหวะเท่านั้น ทีเ่ห็นกันล่าสุดก็คือการขึ้นเวทีบันเทิงขนาดใหญ่ กลับออกตัวช่วยผลักดันเพียงแค่ครานั้นคราเดียว ตั้งแต่จำความได้
อีก 1 ตัวอย่างก็คือ "จอมยุทธ์ขนมอบกรอบ" ผู้ซึ่งใช้เคล็ดวิชาตัวเบาผลักดันตัวเองให้ไปสู่จุดสูงสุดของยุทธภพได้สำเร็จ ก็มิเคยถูกนำเสนอผ่านฝ่าย "ธรรมะ" เลยเช่นกันจนถึงวินาทีนี้
แต่กลับเป็นฝ่าย "ธรรมะ" เองที่ใช้เหล่าจอมยุทธ์ในสังกัดผลักดันสำนักจนก้าวขึ้นมาเคลมตนเองได้ว่าเป็นสำนักอันดับ 1 ในใต้หล้า และถ้าหากจอมยุทธ์คนไหนมีกระบวนท่าเข้าตา เมื่อนั้นแหละจึงจะได้เห็นการนำเสนอจากฝ่าย "ธรรมะ" อย่างเป็นรูปธรรม
บรรดาเหล่าจอมยุทธ์ "รุ่นใหญ่" เองก็ไม่เคยมีส่วนร่วมผลักดันยอดวิชาอันใดให้กับยุทธภพใต้ดินเลยสักครา ประหนึ่งว่า "สุรา" ไหเก่านั้นหมดลงแล้ว จึงต้องเสาะแสวงหาไหใหม่เพื่อประทังความเมาของตนเองก็เท่านั้น และหากจะเถียงว่าไม่เป็นความจริง ลองส่งนกพิราบสื่อสารไปถามหาความกับจอมยุทธ์ท่านอื่นๆดูก็คงจะได้คำตอบไม่ไกลจากที่ผู้เขียนลงน้ำหมึก
ถ้าจะใช้วาทกรรม "รักยุทธภพ" กันจริงอย่างที่ปากว่า คงไม่ต้องรอให้ถึงคราที่ฝ่าย "อธรรม" เดินลมปราณลองวิชาเสียก่อน ถ้าจะรักควรรักกันตั้งนานแล้วมิใช่หรือ? และนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ฝ่ายธรรมะใช้โอกาสนี้สร้างวาทกรรมโจมตีแบบปลายปิด โดยแค่เปลี่ยนจากคำว่า "รันยุทธภพ" เป็น "รักยุทธภพ" และเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขาย, เสี่ยวเอ้อต่างก็ระริกระรี้ไปกับวาทกรรมดังกล่าวโดยอาจจะลืมไปว่า มันเป็นการรักแบบมีนัยยะ และรักเพียงชั่วครั้งชั่วคราเวลาจะเปิดเมืองค้าขาย
ถ้าหากไม่มีฝ่าย "อธรรม" ให้ต่อสู้ วาทธรรมของฝ่าย "ธรรมะ" ก็ไม่มีความหมาย เสี่ยวเอ้อก็มีบทบาทน้อยลง ประชาชนก็คงใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน ไม่มีความตื่นเต้นอันใดให้ท้าทาย
ในนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก "เล่าปี่" มักถูกยกให้เป็นตัวเอก ทั้งๆที่ตัว เล่าปี่ เองนั้นมีทั้งความขลาดเขลา, การหักหลังในหมู่วงศาคณาญาติ, การยืมมือฆ่าคน แต่ในขณะเดียวกันฝ่าย "โจโฉ" ผู้ซึ่งฝึกปรือทั้งสมอง, ความรู้เชิงบู๊และบุ๋นด้วยตัวเองจนก้าวขึ้นมาเป็น "นายกฯ" ที่ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้นกลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายขายชาติ ทั้งที่การบริหารบ้านเมืองของเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า และสามารถเป็นนายกตลอดกาลได้อย่างสบายๆ
สิ่งที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อนั้น มิได้ต้องการโจมตี เผาเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองหนัง แต่เหรียญหนึ่งอีแปะย่อมมีสองด้าน, แม่น้ำลำธารย่อมมีเป็นร้อยสาย ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น
ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตก็แล้วกัน
Comments